วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มาปรับการเผาผลาญไขมันของเรากันเถอะจ้า



ปรับระบบผลาญไขมันกันเถอะ
แม้ระบบเผาผลาญไขมันของร่างกาย ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการลดน้ำหนัก จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่เราก็สามารถที่จะปรับโฉมระบบเผาผลาญของร่างกายใหม่ให้มันมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งๆ ขึ้นไปได้ดังนี้
     1.เลิกไดเอตเด็ดขาดเพราะการได้เอตมันทำให้ระบบเผาผลาญร่างกายของคุณทำงานได้ช้าลงหนำซ้ำยังเป็นการหลอกให้ร่างกายคิดว่าคุณกำลังจะอดตาย ซึ่งแทนที่จะลดไขมันได้แต่กลับกลายเป็นร่างกายจะสะสมไขมันแทน ดังนั้นคุณควรที่จะเลือกรับประทานแต่อาหารที่ดีต่อสุขภาพและไม่ควรจำกัดตนเองมากจนเกินไป
     2.หันมาออกกำลังกายเพราะมันจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่และจะกลายเป็นกล้ามเนื้อแทนไขมันสะสม นอกจากนี้การออกกำลังกายยังเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายได้ราว 10% ขณะที่การยกน้ำหนักก็เป็นการเป็นมวลกล้ามเนื้อและหากยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อมากเท่าใดก็ยิ่งเผาผลาญแคลอรี่ได้มากเท่านั้น
     3.ควรกินอย่างมีสติแทนที่จะเลิกกินอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลยเพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเนื่องจากแคลอรี่ทั้งหมดจากอาหารไม่ได้ถูกเก็บสะสมเป็นไขมันทั้งหมด
     4.ลองปรับตัวมาเป็นการกินบ่อยๆ ทุก 3-4 ชั่วโมง ซึ่งมันจะทำให้คุณไม่หิวมากจนเกินไป และป้องกันการเข้าสู่ภาวะอดอยากของร่างกาย และที่สำคัญคุณห้ามงดอาหารเช้าเด็ดขาดเนื่องจากเมื่อคุณไม่ได้กินอาหารนานๆ ร่างกายจะคิดว่าตัวเองกำลังจะอดตายและปิดตัวเองเพื่อเก็บพลังงานต่างๆ ไว้และอาจเผาผลาญพลังงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร
     5.ควรพักผ่อนให้เพียงพอเนื่องจากหากคุณนอนไม่พอร่างกายของคุณจะคิดว่ามันกำลังเครียดและหลังคอร์ดิซอง ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด ออกมาจำนวนมากและส่งเสริมการสะสมไขมันที่หน้าท้อง นอกจากนั้นยังเสี่ยงต่อสุขภาพ ดังนั้นเราจึงควรหันมากินให้ดีและพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อระบบเผาผลาญที่ดี

ลดความอ้วนด้วยการนอนตรงเวลา





ความอ้วนและการลดน้ำหนักมักเป็นของคู่กันกับผู้หญิงและแต่ละคนก็มีกลเม็ดเด็ดพรายหลากหลายรูปแบบกันออกไป แต่วันนี้เราจะขอนำเสนอวิธีง่ายๆ ที่บางท่านอาจจะยังไม่รู้นั่นก็คือ "การนอนให้ตรงเวลา" ว่าแต่มันจะมีอะไรสำคัญเกี่ยวกับการหลับหรอ? แล้วมันเกี่ยวเนื่องยังไงกับการลดน้ำหนัก? มันจะทำให้เราหุ่นเฟิร์มจริงรึป่าว? ไปค้นคำตอบกันได้เลย
 
อันดับแรกเริ่มด้วยคำถามเช็คตัวเองก่อนขจัดไขมันว่าทุกท่านหลับเวลากี่โมง? ทั้งวัยโจ๋และวัยทำงานที่ยุคนี้มักจะหลับกันมืดค่ำเป็นประจำตามหน้าที่การงานที่ทำกันในแต่ละวัน บางท่านต้องอ่านหนังสือ,ทำงานหรือท่องราตรีจนกว่าจะเข้านอนเล่นเอาเข้าไปตีสามตีสี่ รวมไปถึงบางท่านไปเข้านอนเอาตอนเช้าเลยก็มี กฏเกณฑ์ที่ถูกต้องของการเข้านอนตามนาฬิกาชีวิตและเป็นส่วนหนึ่งของการลดน้ำหนักให้ได้ผลคือ หลับนอนก่อนเที่ยงคืนแล้วตื่นแต่เช้าเพราะจะเป็นเวลาที่ดีที่สุด เพื่อให้กระเพาะทำงานได้อย่างมีผลดีเลิศ เวลาตี 4 เป็นช่วงเวลาที่วิธีการร่างกายของคุณจะเริ่มทำงาน ถึงแม้คุณจะนอนหรือตื่นอยู่ก็ตาม หรือไม่ว่าคุณจะมีเหตุอะไรให้หลับเร็วหรือไม่หลับ จะลดน้ำหนักหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรทั้งนั้น ร่างกายของคนเราทุกคนจะเริ่มทำงานในเวลาตี 4 นี้ ซึ่งกระบวนการนี้จะเป็นการกำหนดจากประสาทส่วนกลางที่เราไม่สามารถจะไปสั่งการมันได้เลย

ร่างกายทำงานอย่างไร เกี่ยวกับกระบวนการดูดซึมอาหารและลดน้ำหนัก ซึ่งเราพูดถึงกระเพาะกันมากพอแล้ว ชั่วโมงนี้เรามาพูดถึงส่วนที่ทำงานร่วมกับกระเพาะกันบ้าง นั่นคือ ลำไส้เวลาที่ลำไส้ทำงานนั้นจะเริ่มตั้งแต่ 5 ทุ่ม ถึงตี 4 แต่ถ้าหากทุกท่านไม่พักผ่อนเข้านอนในเวลาที่ถูกบังคับไว้นี้ ลำไส้จะทำงานได้น้อยลง และทำให้เกิดอาการท้องผูกตามมาด้วย ส่วนของกระเพาะนั้นจะทำงานในเวลาที่เหลือคือ ตี 4 จนถึง 5 ทุ่ม

โดยที่ทั้ง 2 ส่วนนี้จะทำงานแบบเชื่อมโยงกันคือในเวลากลางคืนลำไส้จะเริ่มทำงานตั้งแต่เวลาที่เราเข้านอน ลำไส้จะดูดซึมและย่อยอาหารที่ผ่านกระเพาะเข้ามา จนถึงเวลาตี 4 เหมือนเวลาโยกย้ายไปเป็นหน้าที่ของกระเพาะอาหาร ซึ่งเกี่ยวข้องเต็มๆกับการ ลดน้ำหนักของทุกท่าน

กระบวนการประสาทส่วนกลางเกิดผลทำให้อ้วนหรือผอมพร้อมขจัดไขมัน โดยเมื่อคุณนอนหลับผิดเวลาหรือเข้านอนได้น้อยไป กระบวนการประสาทจะเริ่มผิดปกติหรือเออร์เรอร์ ทำให้ระบบร่างกายรวนเช่นคุณจะไม่รู้สึกอิ่มแม้ว่าอาหารจะเข้าไปเต็มกระเพาะแล้วก็ตาม หรือคุณอาจจะรู้สึกหิวแม้เวลาที่ร่างกายไม่ต้องการอาหารเลย เมื่อวิธีการผิดปกติจะทำให้ร่างกายของคุณขัดข้องไปทุกกระบวนการ

หากทุกท่านเป็นคนที่ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ค้างคาว นั่นก็หมายความว่าทุกท่านจะมีปัญหาในเรื่องของลำไส้ในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน และจะมีผลให้คุณอ้วนได้ง่ายในระยะยาว และเมื่อวิธีการเลวร้ายถึงระดับหนึ่ง การลดน้ำหนักอาจจะไม่มีผลกับคุณเลยก็ได้ กระบวนการอาหารจะไม่สามารถย่อยอาหารที่ทุกท่านทานเข้าไปได้ ในขณะที่อาหารที่คุณรับประทานเข้าไปทั้งวันมันยังสะสมอยู่เต็มกระเพาะ

อยู่ดีกินดีโดยไม่ขาดวิตามิน :D




กินดีไม่มีขาดวิตามิน

วิตามินนั้นนับได้ว่าเป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่การรับประทานอาหารซ้ำๆ ซากๆ นั้นส่งผลร้ายที่คุณไม่คาดคิดคือการขาดวิตามิน ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำกันว่าเลือกทานอย่างไรไม่ให้ขาดวิตามิน
 วิตามินเอจะมีอยู่ในตับ, ไข่แดง, ผลิตภัณฑ์จากนม, ปลาเนื้อมัน, เนื้อ, ผักสีเขียวและเหลือง โดยมันจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต้องจับคู่กับสังกะสีและวิตามินอี ซึ่งได้จากไขมัน เพื่อให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเอได้ดี นอกจากนี้ยังมีมากในผักใบเขียว ซึ่งมักสูญเสียไปหนึ่งในสามหากโดนออกซิเจนและแดด สำหรับผู้ที่ขาดวิตามินเอจะมีผิวที่แห้งและหยาบกระด้าง รวมทั้งเล็กแตกเปราะง่ายและมีจุดขาวๆ นอกจากนี้หากขาดมากๆ จะส่งผลให้มองไม่เห็นตอนกลางคืนและยิ่งขาดไปนานๆ ก็จะลามไปจนถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว

วิตามินบี 1 พบมากในถั่วชนิดต่างๆ รวมไปทั้งข้าวกล้อง, รำข้าว, เนื้อหมูและไข่ แต่จะถูกทำลายลดได้อย่างง่ายดายเมื่อเจอกับความร้อนและออกซิเจนหรือระหว่างการหุ่งต้มนั้นก็ทำให้สูญเสียวิตามินไปแล้วถึง 30% เลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่ควรล้างนานหรือหันมาใช้วิธีนึ่งแทนจะดีกว่า ขณะอาการผู้ที่ขาดวิตามินชนิดนี้นั้นจะทำให้การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตไม่ดี, เบื่ออาหาร, หงุดหงิดง่าย, อ่อนเพลีย, ขาดสมาธิและคันแข้งคันขา นอกจากนี้หากขาดจำนวนมากก็จะส่งผลให้หัวใจอ่อนแรงและกล้ามเนื้อเป็นแผลได้
วิตามินบี 2 มีมากในตับ, เนื้อไก่, นม, ไข่และธัญญาพืช แต่มันสูญเสียไปได้ง่ายในน้ำ ดังนั้นเราจึงควรรับประทานน้ำต้มของมันเข้าไปด้วย ขณะที่แสงไฟจะเป็นตัวทำลายวิตามินชนิดนี้ทำให้เราควรเก็บเอาไว้ในที่มืด ส่วนอาการขาดวิตามินบี 2 จะเป็นแผลที่มุมปาก, ลิ้นและเยื่อปากอักเสบและเป็นโรคโลหิตจาง นอกจากนี้ผู้ที่ทานยาเม็ดคุมกำเนิดและยาต้านโรคซึมเศร้าจะทำให้ขาดวิตามินตัวนี้ได้เช่นกัน

วิตามินบี 3 อุดมอยู่ในปลาเนื้อมัน, เนื้อไก่, ตับและถั่ว แต่การทานยา L-Dopa พาราเซตามอลหรือ Diazepem และทานมังสวิรัติหรือรับโปรตีนเข้าสู่ร่างกายน้อยอาจมีโอกาสทำให้ร่างกายขาดวิตามินชนิดนี้สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้มีอาการซึมเศร้า, ผิวแตกแห้ง, อ่อนเพลียและนอนไม่หลับ

วิตามินบี 5 อยู่ในผักเกือบทุกชนิดรวมไปถึงผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์, เครื่องในสัตว์, ปลา, ไข่แดง, ผักสีเขียวและธัญญาพืช แต่มันอาจสูญเสียไปได้ถึงครึ่งต่อครึ่งจากการแช่แข็ง ดังนั้นเราจึงควรทานอาหารสดอย่างสม่ำเสมอ ส่วนผู้ที่ขาดวิตามินตัวนี้จะมีอาการอ่อนเพลีย, กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง, คลื่นไส้, ปวดท้องและปวดศีรษะ

วิตามินบี 6 พบได้ในเนื้อสัตว์, เป็ด, ไก่, วัว, หมู, ไข่, ปลาและนม แต่วิตามินชนิดนี้ควรเก็บรักษาไม่ให้โดนแสงแดดและความร้อน ขณะที่อาการของผู้ขาดวิตามินตัวนี้จะนอนไม่หลับ, ติดเชื้อง่าย, อ่อนเพลีย, มีปัญหาผิวพรรณ, ปากแห้งแตก, ลิ้นและปากอักเสบ แต่จะไม่พบในผู้ดีมีสุขภาพดีโดยทั่วไป